ฮิญาบ: สัญลักษณ์การถูกกดขี่ หรืออัตลักษณ์เครื่องแต่งกาย
ท่ามกลางกระแสเสรีนิยมที่ก่อให้เกิดความแตกต่างทางความคิดที่หลากหลายขึ้นในสังคม มีคนจำนวนไม่น้อยที่พูดถึงและตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของศาสนาอิสลาม ทั้งในแง่คำสอนและหลักปฏิบัติ สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรนำมาปรับใช้หรือไม่ เพราะหลักปฏิบัติของศาสนาที่นอกจากเคร่งครัดแล้วยังจำกัดสิทธิเสรีภาพ รวมไปถึงคำสอนที่มีความเป็นปิตาธิปไตย กดขี่สตรี ประเด็นที่กล่าวอ้างมานี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นคำถาม และข้อถกเถียงในสังคมเสมอมา อีกทั้งยังเปรียบการแต่งกายของสตรีที่สวมฮิญาบหรือผ้าคลุมที่ปกปิดผมและศีรษะตามหลักศาสนาเป็นการแต่งกายที่หมายถึงการยินยอมให้กดขี่ ในโลกเสรีนิยมที่ฮิญาบเป็นเพียงอัตลักษณ์เครื่องแต่งกายจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการถูกกดขี่ ซึ่งนั่นทำให้สตรีผู้สวมใส่ฮิญาบถูกเลือกปฏิบัติจากคนในสังคม
เพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ในคำสอนของศาสนาอิสลาม บทความนี้จึงมุ่งแสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการคลุมฮิญาบ และสภาวะทับซ้อนที่กดทับสตรีอิสลามผู้สวมใส่ฮิญาบเป็นผลจากคำสอนศาสนา หรืออคติเหมารวมจากผู้คนภายในสังคม
หากพิจารณาความหมายของฮิญาบผ่านหลักคำสอนที่พระเจ้าได้บัญญัติไว้ ฮิญาบไม่ได้หมายถึงแต่เพียงการปกปิดเรือนร่างเท่านั้นแต่ยังคลอบคลุมไปถึงการกระทำและจิตใจ คำบัญญัตินี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ศรัทธาได้ใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้าดั่งที่ได้ตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอ่าน
“ลูกหลานอาดัมเอ๋ย แท้จริงเราได้ประทานลงมาแก่สูเจ้าซึ่งอาภรณ์เพื่อปกปิดสิ่งพึงอายของสูเจ้า และเป็นเครื่องประดับ แต่อาภรณ์แห่งการสำรวมตนจากความชั่วนั้นดียิ่ง นั่นคือหนึ่งจากโองการทั้งหลายของพระเจ้าเพื่อพวกเขาจะได้รำลึก และสำรวมตน” (อัลอะอฺรอฟ 7:26)
จากคำบัญญัตินี้การปกปิดร่างกายจึงมิใช่การกระทำเพื่อมนุษย์เพศใดเพศหนึ่งอย่างที่สังคมตีความ อีกทั้งยังมีบัญญัติเพิ่มเติมถึงการกำหนดให้ปกปิดสิ่งที่พึงสงวนทั้งหญิงและชาย โดยเพศหญิงต้องปกปิดทั้งร่างกายยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนเพศชายได้กำหนดให้ปกปิดตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า
“จงบอกแก่บรรดาบุรุษผู้มีศรัทธาให้พวกเขาลดสายตาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาสิ่งพึงสงวนของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงพระเจ้าทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ” (อัลนูร 24:30)
“และจงบอกแก่บรรดาสตรีผู้มีศรัทธาให้พวกนางลดสายตาลงต่ำ และให้พวกนางรักษาสิ่งสงวน และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และพวกนางต้องปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของนางลงมาถึงหน้าอกของนาง…)” (อัลนูร 24:31)
ไม่มีคำสอนและคำสั่งใดจากพระเจ้าที่เอ่ยโดยยกเพศนึงขึ้นสูงหรือกดเพศใดต่ำลง หากแต่แตกต่างกันไปตามสถานะและบริบทแต่ละเพศ แต่เนื่องจากชุดความรู้เกี่ยวกับสตรีที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายทั้งในกระแสหลักและสังคมมุสลิมถูกผลิตซ้ำโดยผู้รู้ศาสนาเพศชาย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าในชุดความรู้เหล่านั้นมีความเอนเอียงในเพศใดเพศหนึ่งที่ก่อให้เกิดอิทธิพลความเป็นปิตาธิปไตยในคำสอน และกดทับความเป็นสตรีผิดแผกไปจากคำบัญญัติเดิมของพระเจ้าก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและถูกตีตราจากคนต่างศาสนิก แม้เป็นเช่นนั้นใช่ว่าสตรีผู้นับถือศาสนาอิสลามจะยินยอมต่อการผลิตซ้ำชุดความรู้ที่ลดทอนความเป็นสตรีเหล่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมามีการตั้งคำถาม รวมถึงเรียกร้องสิทธิสตรีจากความอยุติธรรมที่ผลิตซ้ำชุดความรู้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมอยู่เสมอ เพียงแต่ไม่ได้รับความสนใจจากคนในสังคมมากพอ และนอกจากสังคมอิสลามแล้ว สังคมโลกเองก็ถูกครอบงำโดยปิตาธิปไตยเช่นกัน แม้ส่งเสียงเรียกร้องเท่าไรก็ไม่สามารถปลดแอกจากบรรทัดฐานทางสังคมที่กำหนดความเป็นหญิงได้ และนี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สตรีผู้นับถือศาสนาอิสลามและสวมใส่ฮิญาบถูกอำนาจทับซ้อนกดทับ
เพื่อวิพากษ์อํานาจครอบงําสังคมจากปิตาธิปไตยและเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของสตรี แนวคิดสตรีนิยมจึงถือเกิดขึ้นโดยคํานึงถึงความเท่าเทียมกันและเคารพตัวตนของทุกเพศ ทุกอัตลักษณ์ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านของเวลา อุดมการณ์ของนักสตรีนิยมได้แตกออกเป็นหลายสาย หนึ่งในนั้นคือนักสตรีนิยมผิวขาวที่เรียกได้ว่าเป็นแนวคิดสตรีนิยมกระแสหลักซึ่งมีการบิดเบือนกรอบแนวคิดบางประการของสตรีนิยม ตีตราฮิญาบเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ และไม่เปิดรับนักสตรีนิยมอิสลามที่สวมฮิญาบว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งในนักสตรีนิยม อีกทั้งยังละเลยปัญหาและการเคลื่อนไหวของผู้คนร่วมอุดมการณ์ นักสตรีนิยมผิวดําเคยออกมาวิพากษณ์การเคลื่อนไหวของนักสตรีนิยมผิวขาวว่าละเลยการต่อสู้เพื่อยุติการเหยียดผิวและแบ่งชนชั้น แนวคิดสภาวะทับซ้อนจึงเป็นหนึ่งในอุดมการณ์ของนักสตรีนิยมที่ซึ่ง Kimberly Crenshaw นักสตรีนิยมผิวดำชาวแอฟริกันผู้เคยประสบกับการกดขี่และเหยียดเชื้อชาติได้พูดถึงแนวคิดสภาวะทับซ้อนของอัตลักษณ์และอำนาจเป็นคนแรก มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักในความซับซ้อนของสภาวะปัญหาต่าง ๆ ที่สตรีเคยเผชิญ แนวคิดนี้ได้ถูกนำไปปรับใช้กับการศึกษาสภาวะทับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ชนชั้น และศาสนา เพื่อพิจารณาปัญหาโดยแยกออกเป็นส่วน ๆ จากอัตลักษณ์ที่ทับซ้อนกัน เป็นผลให้เกิดการต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้สิทธิของคนทุกอัตลักษณ์ โดยสภาวะทับซ้อนที่สตรีผู้นับถือศาสนาอิสลามสวมใส่ฮิญาบถูกกดทับจากผู้มีอคติทางศาสนาหรือมีสภาวะหวาดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ผ่านอัตลักษณ์ฮิญาบที่เธอคลุม และศาสนาที่เธอนับถือ อีกทั้งความเป็นสตรีของเธอก็ทำให้ถูกกดขี่จากระบอบปิตาธิปไตย ดั่งเช่นที่มุสลิมผู้อพยพจากภูมิภาคตะวันออกกลางในเยอรมันมีความเห็นตรงกันว่าฮิญาบคือสิ่งที่สำคัญของชีวิตและอัตลักษณ์ของพวกเธอ ฮิญาบสามารถย้ำเตือนได้ว่าเธอคือใคร ฮิญาบคือสิ่งที่เธอเลือกคลุมเพราะเป็นสิ่งที่ปกป้องเธอจากความรู้สึกไม่มีตัวตนในสังคม อีกทั้งยังมีคุณค่าในชีวิต มีวัฒนธรรม มีศาสนาที่เธอเชื่อและนั่นทำให้เธอยังอยู่ พวกเธอจึงไม่เคยมีความคิดอยากเลิกใส่ผ้าคลุมแม้จะทำให้ถูกคุกคามและไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรที่เธอสามารถเรียกร้องจากคนในสังคมได้ ซึ่งไม่ว่าเธอต้องการแต่งกายเปิดเผยหรือปกปิดเรือนร่างล้วนแล้วแต่เป็นสิทธิเสรีภาพในร่างกายของเธอทั้งสิ้น หากเธอนิยามว่าตนเองเป็นนักสตรีนิยม นักสตรีนิยมกระแสหลักไม่ควรกีดกันเธอออกจากการเคลื่อนไหวหรือไม่นับว่าพวกเธอเป็นหนึ่งในนักสตรีนิยม เพราะแท้ที่จริงแล้วแนวคิดสตรีนิยมคืออุดมการณ์ที่ต้องต่อสู้ให้เกิดความเท่าเทียมขึ้นในสังคม ไม่ควรมีใครถูกเลือกปฏิบัติ ผู้คนทุกกลุ่ม ทุกอัตลักษณ์ควรได้รับโอกาสในการใช้ชีวิตทัดเทียมกันอย่างยุติธรรม
หากแต่มีความจริงบางประการที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบางประเทศใช้อำนาจในการกดขี่บังคับให้สตรีคลุมฮิญาบโดยออกกฎหมายอ้างหลักการของศาสนาผ่านการออกแบบจากเพศชายและผู้มีอำนาจในนามศาสนา หากมองในมิตินี้สามารถพิจารณาได้ว่าปัญหาเกิดจากอำนาจนิยมที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการกดทับผู้คนในสังคม ทำให้สตรีไม่มีความสามารถในการเลือกตัดสินใจ แม้หลักการคำสอนในคัมภีร์อัลกุรอ่านพระเจ้าได้ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมเสมอภาค และสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดีจุดประสงค์ที่แท้จริงของการคลุมฮิญาบนั้นเป็นเพียงการปกปิดร่างกายเพื่อให้สตรีได้สำรวมตน และระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ อีกทั้งยังแสดงให้คนในสังคมได้เห็นถึงอัตลักษณ์เครื่องแต่งกายของสตรีผู้นับถือศาสนาอิสลามอย่างชัดแจ้ง ดังนั้นในโลกเสรีนิยมที่ผู้คนยึดถือในสิทธิเสรีภาพ จึงควรเข้าใจและเปิดรับในความต่างทางอัตลักษณ์เพื่อความเท่าเทียมกันของคนในสังคม
Hasan, M. M. (2018). The feminist “quarantine” on hijab: A study of its two mutually exclusive sets of meanings. Journal of Muslim Minority Affairs, 38(1), 24–38. https://doi.org/10.1080/13602004.2018.1434941
Paz, A., & Kook, R. (2020). ‘It reminds me that I still exist’. critical thoughts on intersectionality; refugee Muslim women in Berlin and the meanings of the hijab. Journal of Ethnic and Migration Studies, 1–18. https://doi.org/10.1080/1369183x.2020.1757417
Yingwatkrai, M. (2012). ฮิญาบในบัญญัติอิสลามศึกษาทรรศนะของนักวิชาการอิสลามและนักศึกษามุสลิมะฮ์ ในกรุงเทพมหานคร (thesis). Mahidol University, Bangkok.
Suepaisan, N. (2015). ผู้หญิงมุสลิมในยุคโลกาภิวัฒน์: ตีความและต่อรอง, ศรัทธาและความเปลี่ยนแปลง. หน้าแรก ประชาไท. Retrieved September 10, 2021, from https://prachatai.com/journal/2015/12/63168.
feminista. (2021, February 28). Feminista knowledge: ทำความรู้จักกับแนวคิดอัตลักษณ์และอำนาจทับซ้อนในมุมมองแบบเฟมินิสม์. feminista. Retrieved September 10, 2021, from http://www.feminista.in.th/post/feminista-knowledge-intersectionality.
Life, H., About author View all posts Author website Halal Life , posts, V. all, & website, A. (2021, September 7). อคติเหมารวมคือการกดขี่ผู้หญิงมุสลิม. Halal Life Magazine. Retrieved September 10, 2021, from https://www.halallifemag.com/why-stereotypes-are-oppressive-to-muslim-women/
Write to Raise
Writing and Translating as Ways to Protect and Promote Democracy
ชมรมเขียนเปลี่ยนสังคมเกิดขึ้นมาจากกลุ่มนิสิตที่มองเห็นปัญหาในสังคมรอบตัวและต้องการขับเคลื่อนในประเด็นต่าง ๆ อาทิ ชุมชนรอบมหาวิทยาลัย ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ ฯลฯ